ข้อมูลเบื้องต้น
เช้าตรู่วันหนึ่ง ณ บ้านหลังโต ได้มีสองชีวิตเดินออกมาจากบ้าน จะมาขึ้นรถโฟร์วีลคันหรูที่จอดอยู่หน้าบ้าน
"ไปกันเถอะจ้ะ ที่รัก ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันให้หวานฉ่ำไปเลย ฮะ" ชายหนุ่มผู้เป็นสามี พูดขึ้น ซึ่งภรรยาสาวสวยของเขาก็รับคำ
ชายหนุ่มมีนามว่า บูม เป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรง อายุ 30 ปี รูปร่างสูงใหญ่ สูงประมาณ 175 ซม. สวมแว่นตาสีทอง บุคลิกดูดี
ส่วนภรรยาของเขานั้นชื่อ ไหม เป็นแพทย์หญิงฝีมือดีประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง การที่ทั้งคู่ได้แต่งงานกันนั้น ทำให้คนรอบข้างต่างชื่นชมในความเหมาะสมของคนทั้งคู่ ประดุจเหมือนกับเทวดานางฟ้าก็ไม่ปาน
บูมขับรถออกไปอย่างช้าๆ สถานที่ฮันนีมูนของสองสามี-ภรรยานั้น คือ จ.เชียงใหม่ โดยทั้งคู่จองห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง อยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร ดูสวยงามเป็นยิ่งนัก
"อ้า! อากาศสดชื่นจริงๆ ถ้ากรุงเทพฯ อากาศเป็นแบบนี้บ้างก็คงดี" ไหมพูดขึ้นทันทีที่ย่างเท้าลงจากรถ
"ผมกะว่า ถ้าทำงานเก็บเงินได้มากกว่านี้ ผมจะมาซื้อบ้านหลังนึง อยู่เชียงใหม่นี่แหละ ผมชอบ" บูมเสริมคำพูดของภรรยา
ในวันที่สองของการฮันนีมูน ทางรีสอร์ต ได้จัดกิจกรรมเดินป่าให้แก่ผู้เข้าพัก บูมและไหมเองก็เข้าร่วมด้วย
เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ต ได้นำทางเหล่าผู้เข้าพักเดินลัดเลาะไปตามป่า ระหว่างทางก็แนะนำพืชพรรณ นก และแมลงที่พบไปตามเรื่อง ทำให้ทุกคนรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่นำทุกคนมาพักที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง
"เอาล่ะครับ เราจะพักกันตรงนี้ 1 ชม. นะครับ เชิญทุกท่านถ่ายภาพ หรือรับประทานอาหารได้ตามอัธยาศัยครับ" เจ้าหน้าที่ประกาศขึ้น ทุกคนจึงได้พักเหนื่อยกัน หลังจากต้องตรากตรำกับการเดินทางมานาน
ไหมและบูมไปยืนชมวิวที่ริมหน้าผาแห่งนั้น
"วิวสวยจังเลย เก็บภาพไว้ดีกว่า" ไหมพูดขึ้น ก่อนจะหยิบกล้องดิจิตอลตัวเก่งขึ้นมาใช้ แต่แล้ว เมื่อเธอมองลงไปสู่เบื้องล่าง เธอก็แทบเป็นลมด้วยความสูงของหน้าผา
ร่างของไหมค่อยๆ อ่อนแรงลง เมื่อบูมผู้เป็นสามีเห็นเข้า ก็ได้รีบจับตัวภรรยาของเขาเอาไว้ แต่ไม่ทัน ร่างของไหมลอยละลิ่วสู่เบื้องล่าง และได้ลากให้บูมตกลงไปด้วย
ผู้คนที่พบเห็นต่างส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ต่างคนต่างจินตนาการว่า คนทั้งสองในตอนนี้ คงไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว เจ้าหน้าที่จึงประสานงานไปยังสำนักงานเพื่อที่จะมากู้ศพของทั้งสองขึ้น
ไม่นานเกินรอ เจ้าหน้าที่ก็ลงไปถึงก้นผา แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเบื้องล่าง มีเพียงพื้นดินที่ว่างเปลา ปราศจากซึ่งศพของคนทั้งสอง!!! เป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเล่นตลกกันนี่
ทางด้านสองสามี-ภรรยา เมื่อได้สติ ก็พบตนเองนอนอยู่บนเส้นเถาวัลย์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเปล นับว่าโชคดี หากร่างของคนทั้งสองกระแทกกับพื้นเบื้องล่าง คงแหลกแหลวจนจำสภาพเดิมไม่ได้แน่
บูมและไหมออกเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณ และพยายามจะปีนขึ้นไป
"บูม เราจะปีนขึ้นไปได้ยังไง เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่มีนะคะ ปีนขึ้นไป เราต้องตกลงมาแน่" ไหมทักท้วง เมื่อเห็นสามีกำลังจะทำในสิ่งที่โง่เขลา
"ไม่งั้นเราก็ตายกันอยู่ตรงนี้แหละ ดูซิ คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี จะโทรเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เราเสร็จแน่"
ขณะที่บูมกำลังพยายามปีนนั้นเอง ก็มีเสียงคนหมู่มากวิ่งมาแต่ไกล ทำให้สองสามี-ภรรยาใจชื้นขึ้น เพราะว่ามีคนมาช่วยแล้ว แต่ความหวังก็ต้องมลายหายไป เมื่อพบกับ กลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธมาในมือ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นมีร่างสูงใหญ่กำยำ มีพ้าโพกที่ศีรษะ ท่อนล่างนุ่งโสร่งลายตาข่าย เห็นเพียงเท่านี้ ไหมและบูมก็ไม่ต้องสงสัย ว่าคนกลุ่มนี้เป็น ทหารพม่า
พวกมันพูดกันด้วยภาษาพม่าที่ทั้งสองฟังไม่ออก และวินาทีวิกฤติของทั้งคู่ก็มาถึง เมื่อทหารพม่านายหนึ่งเงื้อดาบขึ้น หมายจะตัดหัวของบูม
บูมรีบเอามือปิดหน้า เขาคิดว่า นี่คงเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว แต่แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องปานฟ้าถล่ม และรู้สึกเหมือนมีของเหลวกระเด็นมาเปื้อนที่หน้า เมื่อเปิดหน้าขึ้นดูก็พบว่า มันคือเลือดนั่นเอง ส่วนทหารพม่าคนนั้น ก็ลงไปนอนกองกับพื้นในสภาพที่มีมีรอยกระสุนที่อกซ้าย
เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทหารพม่าที่เหลือ ทำหน้าเลิ่กลั่กกันใหญ่ ก่อนที่จะมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกกลุ่มออกมาจากพุ่มไม้ ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้เปลือยท่อนบน นุ่งโจงกระเบนที่ท่อนล่าง แต่ละคนถืออาวุธแตกต่างกันไป เช่น ดาบ หอก ขวาน ปืน ฯลฯ
เกิดการปะทะกันขึ้น ณ บริเวณนั้น เพียงไม่กี่นาที ทหารพม่าก็กลายเป็นศพนอนตายอยู่ที่พื้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์ในกลุ่มหลังจะมายืนล้อมไหมและบูมเอาไว้
ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเป็นใคร เขาจะเป็นมิตรหรือศัตรู ติดตามได้ในตอนต่อไป
ความคิดเห็น